วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

เรื่องเล่าจากวันวาร ตอน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป



นิยาม คำว่า ... “ ความรัก ”


เคยมีใคร ? คนหนึ่ง  ถามผมว่า  ... ความรัก ... คืออะไร ?
ไม่รู้ซิ !!! ... ผมตอบ

                                                                                             ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

หลายคนเคยบอกว่า ... ความรัก  คือ ... สิ่งสวยงาม ... ความดีงาม ... ความฝัน ... ความโรแมนติก ... หยาดน้ำตา ... ยาพิษ .., ความหลอกลวง  ฯลฯ  และ ความรัก คือ อะไร ? อื่น ๆ อีกมากมาย ... หลากหลาย ความเป็นไปได้ ในจิตนาการของใคร ๆ อีกหลาย ๆ คน !!!
มันคงเป็น เรื่องยาก ที่ ผม จะจำเพาะเจาะจงลงไปได้อย่างแน่นอนว่า  .... ความรัก คือ อะไร ?

รักสมหวัง  คือ... ความสุข  คือ... ความสมหวัง
รักผิดหวัง  แน่นอนว่ามันคือ ... น้ำตา  คือ ... ยาพิษ และ อกหัก !!!
ผมคิดว่า ความรัก ของใคร ๆ แต่ละคนนั้น มีผลมาจาก ... บทพิสูจน์ทราบความรัก ของแต่ละคน แต่ละความรักว่า มีบทสรุปสุดท้ายอย่างไร ? มากกว่า
ดังนั้น ... ผมว่าเรามาลองมาดูกันดีกว่าว่า ... นิยามความรัก มีอะไร ? บ้าง !!!

ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

รักแท้                     คือ           ตำนาน                   เหลือไว้แต่ชื่อ ไร้ซึ่ง ... ตัวตน
รักสิ้นลมปราณ      คือ           บทประพันธ์            ดรามาติก พระเอก หรือ นางเอก ... ตายตอนจบ
รักไม่แปรผัน          คือ           นิยาย                     น้ำตาท่วมจอ ขอมีตำหนิ ... ทายาทเศรษฐี
รักกันจนวันตาย     คือ           นิทาน                     กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ... มันนานจนลืม
รักตลอดกาล          คือ           ละคร                      ดังมากตอนหลังข่าว นอกนั้น ... เงียบสนิท
รักอยู่ทุกตอน         คือ           ละครน้ำเน่า            พระเอกรวย  นางเอกจน ... มุขนี้ทุกเรื่อง          
รักไม่เคยเก่า          คือ           จริงในช่วงแรก       นานกาลต่อมา  ลวงหลอก ... เห็นเป็น ควาย
รักในความแปลก    คือ           คำฮิต                     สะกิดใจแค่ได้ยิน ... ก็เท่านั้น
รักด้วยชีวิต            คือ           ลิเก                         ปิดวิก เก็บเงิน แต่ ... แม่ยกไม่มี
รักไม่โลเล              คือ           ความฝัน                 ความจริง คือ ... ความหลอกหลวง
รักเธอนิรันดร์         คือ           ชื่อเพลง                  ดนตรีเล่นห่วย  นักร้อง ... เส็งเคร็ง
รักนะตัวเอง            คือ           เด็กอมมือ               โกหกหน้าตาย ก็ได้แค่ ... ตอนนี้
รักซื่อสัตย์              คือ           คำลวง                    สัญญาเพียงลมปาก ... ลอยลิ่วตามลม
รักหมดทรวง          คือ           คำพูดติดปาก         ไม่ติดตา ไม่ติดใจ ไม่ต้องไป ... สนใจ
รักเธอมาก              คือ           คำพูดสุดฮอต         ร้อนมาก ไหม้ละลาย ... กลายเป็นน้ำรอระบาย
รักเดียวตลอด         คือ           เป็นไปไม่ได้           ถ้าจะมีใครเชื่อ ก็คงจะมีอัน ... เป็นไปจนได้

แล้ว นิยามความรัก ของคุณล่ะครับ ... คือ อะไร ?

เรื่องเล่าจากวันวาร
ตอน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

                                                                                            ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  เกิดขึ้นครั้งแรกในโลกจากความคิดของ  นายอันโด โมโมฟุกุ  ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัทนิชชิน ในปี 2501 !!!

หลังจากที่ ประเทศญี่ปุ่น ประสพความปราชัยจาก สงครามโลกครั้งที่ 2  ประชาชนญี่ปุ่น ยุคหลังสงคราม ประสบกับภาวะขาดแคลน ข้าวยากหมากแพง จน กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น ต้องแนะนำให้ชาวญี่ปุ่นกินขนมปังที่ทำจากข้าวสาลี โดยได้รับการสนับสนุนจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่ นายอันโด กลับมีความคิดว่า ทำไม ... ชาวญี่ปุ่นต้องกินขนมปัง ทั้งๆ ที่คนญี่ปุ่นคุ้นเคยกับการกินบะหมี่หรือราเมน มากกว่า  เขาจึงมีความคิดที่จะทดลองทำบะหมี่ที่ ทำกินเอง ได้ง่าย สะดวก และมี ... ราคาถูก !!!

                                                                                           ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

และหลังจากที่เขาได้ ลองผิดลองถูก อยู่หลายเดือน ในที่สุด ... วันที่ 25 ส.ค. 2501 นายอันโด ก็คิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขึ้นมาได้เป็นครั้งแรก เมื่ออายุได้  48 ปี โดยตั้งชื่อบะหมี่ของเขาว่า  ชิกิ้น ราเมน !!! 

                                                                                                ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

โดย นายอันโด นำ เอา เส้นราเมนที่ผสมกับน้ำซุปกระดูกไก่ ทอดใน น้ำมันปาล์ม แล้วนำมาอบแห้งเพื่อไล่ความชื้นออกไป ได้เป็น เส้นราเมนแห้งกรอบ ทำให้สามารถเก็บเอาไว้ได้นาน
และเมื่อจะทานบะหมี่ ก็แค่ เติมน้ำร้อน ลงไป เส้นบะหมี่แห้งกรอบนั้น ก็จะคืนสภาพเดิมและกินได้ทันทีโดยไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเติมเลย !!!
ชิกิ้น ราเมน 

สำหรับ ประเทศไทย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้ามน้ำข้ามทะเล เข้ามาเผยแพร่ ในราวปี  พ.ศ.2514-2515 โดยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อแรกในประเทศไทยคือ  ซันวา ที่มีต้นแบบมาจากบะหมี่ญี่ปุ่นที่ต้องต้มก่อนกิน ตามมาด้วย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สัญชาติไทย เช่น  ยำยำ /  ไวไว  และ  มาม่า ในเวลาใกล้เคียงกัน ... หลากหลายยี่ห้อตามติดกันมา !!!
                                                                                             ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

แต่กลับกลายเป็นว่า  คนไทย กลับนิยมเรียก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ว่า  มาม่า  จนกลายเป็น Generic Name หรือชื่อสามัญที่คนไทยในปัจจุบันใช้เรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปเสียแล้ว !!!

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

เรื่องเล่าจากวันวาร ตอน ขนมปลากริม ไข่เต่า



เรื่องชวนหัว ฉบับ หลวงตา ๓

คำพระ หรือ คำที่ใช้พูดกับ พระภิกษุ สำหรับ ฆราวาส นั้น ในบางครั้ง คนนอกวัด หรือ คนที่ห่างกำแพงวัด  มักจะใช้ไม่ค่อยถูก หรือ พูดไม่เป็น ทำเอาหลาย ๆ ครั้ง ที่ หลาย ๆ คน ไม่กล้าที่จะพูดกับพระ เพราะไม่รู้จะพูดยังไง ?
อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนั้น

ด้วยเหตุละอันฉะนี้นี่เอง ... ที่หลวงตามักจะพร่ำพรรณนาสอนสั่งกับบรรดาญาติโยมต่าง ๆ ถึงคำพูดหรือเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับวัด ศาสนา และ พระ !!!

ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

หลังฉันเพลวันหนึ่ง ... หลวงตา  เล่าให้ ญาติโยม ฟังว่า   เมื่อหลายวันก่อนที่ผ่านมา  หลวงตานอนไม่ค่อยหลับ  เลยให้ลูกศิษย์พาไปหาหมอที่คลินิกเปิดใหม่
หมอถามเมื่อเห็นหน้าตาซีดเซียวของหลวงตา
“ หลวงตา เป็นอะไ ร ? ครับ  
“ อ้อ ... อาตมา จำวัด ไม่ได้เลยจ๊ะ ... โยมหมอ ”
หลวงตาตอบยิ้ม ๆ  
“ อ้าว ... ถ้า หลวงตาจำวัดไม่ได้ แล้ว หลวงตาจะกลับวัด ยังไงครับ ? “ 
หมอทำหน้างง ๆ ถามด้วยความสงสัย !!!
หลวงตาได้ยินคำถามหมอก็ทำหน้างง ๆ ไปด้วยกันกับหมอ
“ ลูกศิษย์พามา ... อาตมา  ก็กลับกับลูกศิษย์น่ะซี โยมหมอ ”
หมอพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็ยังพึมพำออกมา เพราะยังไม่หายงง
“ เออ ... ยังดีนะที่ ลูกศิษย์ ยังอุตส่าห์ จำวัด ได้ ... ไม่งั้นแย่เลย ”
หลวงตาได้ยินคำพูดพึมพำของหมอ
“ โยมหมอ ... ลูกศิษย์น่ะ จำวัด ไม่ได้หรอก ... จะมีก็แต่ พระ เท่านั้นแหละที่ จำวัด ได้”
หมอยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ !!!

หมายเหตุ :  ภาษาพระ  จำวัด : นอน

เรื่องเล่าจากวันวาร
ตอน  ขนมปลากริม + ไข่เต่า

                                                                                             ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

ขนมแชงมา หรือ ขนมแฉ่งม้า  คือ ขนมไทยโบราณ ที่มีตำนานเล่าขานกันมาตั้งแต่ สมัยโบราณ  เพราะชื่อขนมชนิดนี้ ปรากฏอยู่ในบทเพลงกล่อมเด็กในสมัยนั้น ที่มีเนื้อร้องว่า  

"โอ้ละเห .... โอ้ละหึก .... ลุกขึ้นแต่ดึก  ทำขนมแฉ่งม้า
ผัวก็ตี ... เมียก็ด่า ...  ขนมแฉ่งม้าก็คา ... หม้อแกง !!! "

กล่าวกันว่า ...  ขนมแชงมา หรือ ขนมแฉ่งม้า  นั้นเป็น การผสมขนมไทย ๒ ชนิดเข้าด้วยกัน โดย ขนมไทยทั้ง  ๒ ชนิดนั้น ชนิดที่ ๑ ใช้  แป้งขนม ที่นำมาปั้นเป็น ตัวเรียวยาว ต้มกับน้ำ และน้ำตาลปึก  ให้ออกรสหวาน  จนมีสีน้ำตาลอ่อนๆ เรียกว่า  ...ขนม ปลากริม ชนิดหนึ่ง  กับ อีกชนิดหนึ่งใช้  แป้งขนม นำมาปั้นเป็น ตัวกลมๆ  ( หรือตัว เรียวยาว ) ต้มกับกะทิให้เนื้อข้น จากนั้นเติมเกลือให้มีรสเค็ม เรียกว่า  ... ขนมไข่เต่า
ขนมทั้ง ๒ ชนิด แยกกันกิน  ขนมปลากริม  กินเป็น ขนมหวาน และ ขนมไข่เต่า กินเป็น ขนมเค็ม  

                                                                                           ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

ต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ ๕  ในครั้งนั้นมีท่านผู้รู้ได้แจ้งให้กับ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารคาว-หวาน และผู้แต่งตำรา แม่ครัวหัวป่าก์  ให้ทราบความว่า  ขนมประกริม  และ ขนมไข่เต่า นั้น หากนำขนมทั้งสองชนิดนี้มาผสมกัน ก็จะทำให้ขนมมีรสชาติดีขึ้น  และเมื่อผสมขนมทั้งสองชนิดนี้เข้าด้วยกันแล้วก็จะเรียกว่า  ... ขนมแชงม้า หรือ ขนมแฉ่งม้า !!!

หากไม่นำขนมทั้ง ๒ ชนิดมาผสมกัน ก็จะเรียกชื่อขนมตามเดิมว่า ขนมปลากริม และ ขนมไข่เต่า
และอีกนานต่อมาเท่าไหร่ไม่ปรากฏ  ขนมแชงม้า หรือ ขนมแฉ่งม้า  ที่หลายคนรู้จักกันนั้น ก็กลับมาเรียกชื่อตามชื่อขนมเดิมก่อนผสมเข้าด้วยกัน 
และเรียกชื่อขนมชนิดนี้มาจนปัจจุบันว่า ... ขนมปลากริมไข่เต่า

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

เรื่องเล่าจากวันวาร ตอน ข้าวแช่



เรื่องชวนหัว ฉบับ หลวงตา ๒



อารามบอย กับ งานวัด นั้นอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นของคู่กัน เหมือน ...  ผีเน่า กับ โลงผุ
และแน่นอนว่า ... งานวัด  เมื่อกว่า  30 ปีที่ผ่านมานั้น เป็น มหกรรมความบันเทิง ที่ อารามบอย อย่างพวกผมตั้งหน้าตั้งตารอกันทีเดียว เพราะ สาระพันความสนุกสนานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รถไต่ถัง ชิงช้าสวรรค์ ยิงเป้า สาวน้อยตกน้ำ ลิเก หนังจอ ( หนังกลางแปลง ก็เรียก )  แม้กระทั่ง เวทีดนตรีลุกทุ่ง ไม่นับ เมียงู  หรือเวทีคนประหลาด อีกทั้ง ของกินคาวหวาน ขนมจีนน้ำยา ต้มเครื่องใน หรือขนมหวาน นานาชนิด ที่ต่าง แออัดยัดเยียดกันจนเต็มลานวัด
และความบันเทิงอีกอย่างที่ขาดไม่ได้สำหรับ ... งานวัด ก็คือ เวทีมวย !!!

                                                                                           ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

ใช่แล้วครับ ... เวทีมวยงานวัด บ้านเรา  ค่ำคืนวันนี้ ก็คึกคักไม่เบาเลยทีเดียว เสียงโฆษกสนามประกาศโทรโข่ง เชิญชวนดังลั่นไปทั่วทั้งงาน
“ เอ้า !!! ... เร่เข้ามา ... เร่เข้ามา สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามา  เอามือควักกะตังในกระเป๋าซื้อบัตรหน้าโรง ... สองเท้า ... เฮโลสาระพา  เร่เข้ามา  ... เร่เข้ามา  
ตกดึก งานวัดยิ่งสนุก ... เวทีมวย ก็ยิ่งน่าตื่นเต้นเร้าใจ กับ คู่มวยมันส์บนเวที ที่ต่อยหน้า เตะขา เข่าท้อง ศอกกระหม่อม กันเป็นที่ ถูกใจบรรดาคอมวยที่ต่างส่งเสียงเฮฮา โบกมือไหว ไหว

จนมาถึง คู่เอก   ...  โฆษกสนามประกาศแนะนำ นักมวยคู่เอก  เสียงดังกึกก้อง
“ เอาล่ะครับ... คู่เอก วันนี้ มวยชิงเดิมพัน กำนันขอมา  ระหว่าง กำปั้นยักษา ...  เพชรราวี หมัดฉมัง  ฝ่ายแดง พบกับ ฝ่ายน้ำเงิน ขุนเข่าจอมพลัง ... สิมง เกศสงคราม !!! 

สิ้นเสียงโฆษก ... เวทีมวยเงียบสนิท  
ใครคนหนึ่งนั่งข้างโฆษกสนามกระซิบบอกเบา ๆ ว่า  “ อ่านผิด เลื่อนสระอิ ... ไปข้างหลัง

โฆษกสนามยิ้มหน้าเจื่อน พยักหน้าอย่างเข้าใจ รีบประกาศใหม่ ในทันที
.... แฟนหมัดมวยครับ .... ผมขอโทษ ได้โปรดฟังประกาศรายชื่อใหม่  มวยคู่เอกวันนี้  ระหว่าง  เพชรราวี หมัดฉมัง  ฝ่ายแดง พบกับ  ขุนเข่าจอมพลัง มวยดีจาก ค่าย เกศสงคราม นามว่า ... สมงิ

ต๊าย ...... ตาย ตาย ยยยยยยย ... อกอีแป้นแล่นลึก เข้าตึกแขก ..... ท่านโฆษกสนามเล่น ประกาศชื่อนักมวยแบบนี้ก้อ  เล่นเอา .... ฮา น่ะซีครับ !!!


เรื่องเล่าจากวันวาร
ตอน ข้าวแช่

ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

ข้าวแช่  เมนูอาหารดับร้อน ที่หอมเย็นชื่นใจประจำฤดูร้อน  เป็นตำรับอาหารพื้นบ้านของ  ชาวมอญ โดยชาวมอญจะเรียกว่า เปิงด๊าดจ์  !!!
โดยคำว่า  เปิง  คือ  ข้าว   ส่วนคำว่า  ด๊าดจ์  คือ น้ำ
เปิงด๊าดจ์   จึงมีความหมายตรงตัวว่า  ข้าวน้ำ  ทำขึ้นเพื่อถวายแด่ ... ทวยเทพ ใน เทศกาลตรุษสงกรานต์  ซึ่ง ชาวมอญ ถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมาว่า ในวันสงกรานต์จะต้องทำ ข้าวแช่ ถวายพระ และให้แก่ ญาติผู้ใหญ่  เพื่อความเป็นสิริมงคล แก่ตนเอง !!!

จาก ตำนานสงกรานต์มอญ ที่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ ๓โปรดให้จารึกเอาไว้  วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จำนวน ๗ แผ่น ระบุว่า มี เศรษฐีชาวมอญผู้หนึ่งอยากได้บุตรธิดาเป็นอย่างมาก เพราะเขาไม่มีลูกหลานไว้สืบสกุล  จึงไป บวงสรวงพระอาทิตย์พระจันทร์ เป็นเวลานานถึง ๓ ปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที !!!

                                                                                           ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

จนถึงวันนักขัตฤกษ์ต้นปีใหม่ ซึ่งเป็น วันมหาสงกรานต์  เศรษฐีผู้นั้นจึงเปลี่ยนไป บวงสรวงพระไทร ที่สิงสถิตในต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ โดยให้บริวารนำเมล็ดข้าวสารล้างน้ำถึง ๗ ครั้งจนหมดมลทิน แล้วนำไปหุงเพื่อบูชาเทวดา พร้อมทำอาหารอันโอชะประณีตสวยงามไปถวาย พร้อมตั้งจิตอธิษฐาน !!!
ในที่สุดเขา เศรษฐี คนนั้นก็ได้บุตรชายสมดั่งที่ตั้งใจ และกลายเป็น ตำนานความเชื่อ สืบต่อกันมาของทายาทชาวมอญที่นิยมทำข้าวแช่บูชาเทพยดาในวันสงกรานต์  เพื่อความเป็นสิริมงคล และให้สมหวังดั่งใจปรารถนานั่นเอง !!!

ด้วยความที่ คนไทย  กับ คนมอญ มีการติดต่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันมาอย่างยาวนาน ทำให้ ข้าวแช่ แพร่หลายมาสู่ประเทศไทย  และเข้าสู่ สำรับอาหารชาววัง  เมื่อ สตรีชาวมอญ ได้เข้ารับราชการฝ่ายในเป็นเจ้าจอมหม่อมห้ามของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จึงได้ปรุง ข้าวแช่ ถวาย ซึ่งปรากฏว่าเป็นที่พึงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง

ขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

ต่อมา ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยทำงาน ห้องเครื่องต้น ใน สมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้นำเอา ข้าวแช่ ออกนอกรั้ววัง มาเผยแพร่ต่อสามัญชาน  ซึ่งทำให้ ข้าวแช่  ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบัน !!!

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

เรื่องเล่าจากวันวาร ตอน ขนมเบื้อง



เรื่องชวนหัว ฉบับ หลวงตา


พบกันวันนี้ ผมหยิบเอา ... เรื่องชวนหัว  จากอดีต  ฉบับ หลวงตา ที่ครั้งหนึ่ง เมื่อตอนที่ผมได้เคย อาศัยใบบุญ พึ่งหลังคากุฏิวัดหลบฝน และประทังความหิวจาก ข้าวก้นบาตร ของ หลวงตา  ซึ่งท่านเคยเล่าเรื่อง ชวนหัว เหล่านี้ให้ญาติโยมได้ฟังกัน ยามที่ท่านขึ้นธรรมมาตร เทศนาโปรดสัตว์ !!!

หลวงตา  ท่านเป็น พระสงฆ์ชรา ที่น่านับถือเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระน้ำดี ที่คอยสั่งสอน ทุกผู้นามให้ ปฏิบัติดี ประพฤติชอบ ไม่มั่วอบายมุข ละกิเลส ละตัณหา อันจะพาไปสู่ทางเสื่อม ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคม ไม่มอมเมาอุบาสก อุบาสิกา หรือ ญาติธรรม ให้หลงใหลได้ปลื้มไปกับ เครื่องราง ของขลัง อ่างน้ำมนต์ หรือ วัตถุมงคลต่าง ๆ

น่าเสียดายที่ท่านมรณภาพไปเสียแล้ว ... !!!

ซึ่งก็น่าที่จะเป็นดีต่อหลวงตาท่านเป็นอย่างมาก เพราะหากว่าวันนี้ ... ท่านมีชีวิตอยู่  ก็คงจะรู้สึกหดหู่ไปกับ วิวัฒนาการนานัปการในหนทางสู่ ... ความเสื่อมของพุทธศาสนา ที่ สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลางรูป บางองค์ ได้กระทำอย่างเปิดเผย ทั้งในที่ลับ หรือ ที่แจ้ง !!!

                                                                                       ขอขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

จบเรื่องราวใน ดงขมิ้น แต่เพียงเท่านี้  เรากลับมาเข้า ... เรื่องชวนหัว ฉบับ หลวงตา  กันดีกว่าครับ
สยามประเทศ เมื่อครั้งใน รัชสมัย สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  อันเป็น ยุคเริ่มต้นแห่งความเจริญ ตามรอยอารยะประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก สยามประเทศ ในวันนั้น บนถนนหนทางเต็มไปด้วย ผู้คนชาวต่างชาติ เดินกันขวักไขว่ ทำให้คนสยาม ต้องรับเอาวัฒนธรรมของคนต่างชาติไว้อย่างช่วยไม่ได้  เช่น การแต่งกาย หรือ การพูดจา ที่ออกสำเนียง ฟุต ฟิต ฟอร์ ไฟร์ หรือ ไทยคำฝรั่งคำตามไปด้วย

วันหนึ่งที่หัวมุมถนน ...
ชายไทยหนุ่มใหญ่   ในชุดสูทสากลผูกหูกระต่าย ท่าทางภูมิฐานเดินวางมาด ผู้ดีอังกฤษ เดินลัดหัวมุมถนนปากซอยออกมาตรงไปย่านการค้าที่อยู่เบื้องหน้า พลันต้องชะงักเท้าลง เมื่อพบปะกันโดยบังเอิญกับ ชายหนุ่ม ท่าทางซอมซ่อคนหนึ่ง
ชายซอมซ่อ ยากไร้ ทักทายหนุ่มใหญ่คนนั้น
“ อาฟซะเตอร์นูน มิสสะเตอร์ ... เอ้อ !!! ดะ ดู ยู แฮฟ ... บุไหร่หมี ? ”
“ โน ...โนแฮฟ ... ไอ ... แท้ว ไป ลิ้ง 
 หนุ่มใหญ่ตอบกลับมองด้วยสายตาเหยียดหยามคนจรหมอนหมิ่น
“ โอ ... มายก๊อด ... อาร์ ยู ... ไท้ ที นิ่ง ?   ชายหนุ่ม ถามระล่ำระลัก
ทอย ปาก ซิ้ง ...”  หนุ่มใหญ่กระชากเสียงตอบ ก่อนเดินจากไป
ชายหนุ่ม ยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนที่จะออกวิ่งไปที่ ... หน้าปากซอย !!!

หมายเหตุ :  ไม่มีคำแปลครับ
เอาน่า ... ผมรู้ว่าคุณรู้แล้วว่า สองหนุ่ม นี่พูดกันเรื่องอะไร ?

เรื่องเล่าจากวันวาร
ตอน  ขนมเบื้อง



 ขอขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE



ขนมเบื้อง ขนม ที่เป็น แป้งแผ่นบางกรอบ สอดไส้ด้วยไส้ คาว หวาน ขนมไทย ที่เราหลาย ๆ คนรู้จักกันมาเป็นอย่างดี แต่ความจริงแล้ว ขนมเบื้อง ไม่ได้ใช่  ... ขนมไทย อย่างที่เข้าใจ  เพราะต้นตำรับเดิมนั้นเป็นของ ชาวอินเดีย โดย พราหมณ์ นำขนมเบื้องเข้ามาในสยามประเทศ ตั้งแต่ สมัยกรุงสุโขทัย จากหลักฐานภาพเขียนในวัดแห่งหนึ่งที่ เมืองสุโขทัย  และสืบทอดต่อเนื่องกันมาจนถึง สมัยกรุงศรีอยุธยา ในบทเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน และ ยังเป็นขนมที่ใช้ใน พระราชพิธีเดือนอ้าย ที่บันทึกไว้ใน บทพระราชนิพนธ์ ความเรียง ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 5  เรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือน  และยังมีหลักฐานกล่าวถึง ขนมเบื้อง ในคำให้การขุนหลวงหาวัด ว่า  บ้านหม้อปั้นหม้อข้าวหม้อแกงใหญ่เล็ก แลกระทะเตาขนมครกขนมเบื้อง

ซึ่งหากจะกล่าวกันไปแล้ว เส้นทางของ ขนมเบื้อง มีต้นสายยาวนานมานับตั้งแต่  สมัยพุทธกาล เลยทีเดียว โดยได้มีการจารึกเรื่องราวเอาไว้ในหนังสือ ธรรมบทเผด็จ  กล่าวกันถึง ท่านเศรษฐีโกสิยะ ซึ่งเป็นคหบดีมหาเศรษฐี ที่มีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวเป็นที่สุด วันหนึ่ง ท่านเศรษฐีเกิดนึกอยากกินขนมเบื้องขึ้นมา  จึงให้ภรรยาตนแอบขึ้นไปทำขนมเบื้องบนปราสาทชั้นเจ็ด เพื่อจะได้ไม่ต้องแบ่ง ขนมเบื้อง ให้ใคร

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทราบได้ด้วยญาณบารมี  จึงให้ พระโมคคัลลานะ พระอัครสาวกไปขอรับบิณฑบาตขนมเบื้อง จากท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีเสียมิได้จึงสั่งให้ภรรยาทำขนมชื้นเล็ก ๆ เพื่อนำมาถวายต่อพระพุทธเจ้า  แต่ทุกครั้งที่ ภรรยาละเลงแป้งขนมลงไปบนกระทะ  แป้งกลับฟูขึ้นมาจนเต็มกระทะ  

เมื่อท่านเศรษฐีเห็นดังนั้นก็เสียดาย เลยให้ ภรรยา ทำขนมขึ้นมาใหม่ แต่ทุกครั้งที่แม้ว่า แป้ง จะมีจำนวนน้อยนิดเพียงใด ก็ตาม แป้ง ก็จะฟูขึ้นมาเต็มกระทะแทบทุกครั้ง  จนในที่สุดท้าย ท่านเศรษฐี จึงละความพยายาม และยอมถวายขนมเบื้องขนาดปกติถวายให้พรนะพุทธเจ้า
พระโมคคัลลานะ เห็นว่าท่านเศรษฐีได้รับบทเรียนแล้ว ท่านจึงเทศน์เรื่อง โทษของความตระหนี่ ให้ท่านเศรษฐีและภรรยาฟัง พอท่านเศรษฐีโกสิยะและภรรยาได้รับฟังแล้ว ก็บรรลุถึงธรรมะทั้งคู่ และเปลี่ยนมาเป็น ... คนใจบุญ !!!

                                                                                         ขอขอบคุณภาพประกอบ : GOOGLE

การละเลงแป้งขนมเบื้องให้สวยงามเป็น แผ่นบางกรอบ สวยงามนั้น ในสมัยโบราณถือว่าเป็น คุณสมบัติอย่างหนึ่งของ กุลสตรีไทย  ดังที่ปรากฏใน บทเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน นิทานมหากาพย์พื้นบ้านของไทย  ในตอนที่  พระไวย สั่งให้ภรรยาทั้งสองคือ นางศรีมาลา ลูกสาวเจ้าเมืองพิจิตร และ นางสร้อยฟ้า  ธิดาเจ้าเชียงใหม่   ทำขนมเบื้อง เพื่อเปรียบเทียบฝีมือกัน จนกลายมาเป็นชนวนทะเลาะวิวาทบาดหมางระหว่างภรรยาทั้งสอง ของ พระไวย  และจากวันนั้นความสงบสุขในครอบครัวของพระไวยก็หาไม่ได้อีกเลย

และนอกจากนั้น  ยังมีคำพังเพยที่นำเอาขนมเบื้องมาเปรียบเปรย  โดยมีความหมายกล่าวถึง คนช่างติ หรือ คนที่ดีแต่พูด  ว่า “ ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก ”

ใกล้วันเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ...
ไม่แน่ว่า ... คุณอาจจะได้เห็น ใคร ? บางคน ... ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกันครับ 
อนาจจังหนอ ... ชีวิตคนไทย !!!

ผมว่า ... ผม โชคดี นะที่เกิดมาบน ... ผืนแผ่นดินไทย
แต่ผมก็ว่าอีกเหมือนกันว่า ... ผม โชคร้าย ที่ดันเกิดมาเป็น ... คนไทย !!!


วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

เรื่องเล่าจากวันวาร ตอน ขนม ค-ร-ก



ทำไม ? ต้อง กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล



 หลายครั้ง หลายครา ในบางเรื่องผมชอบที่จะเขียนแทรกลงไปใน ข้อเขียน ว่า ... ผมดื่มกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล !!!

เพื่อนหลาย ๆ คนที่รักสุขภาพบอกว่า ... ไม่ใส่น้ำตาลก็ดี ( ปิดประตูโรคเบาหวาน )
บางคนชอบกาแฟหวานก็ว่า ... ไม่ใส่น้ำตาลก็เลิกกาแฟไปเลย  ( จะดื่มกาแฟ หรือ น้ำหวานวะ )
หรือคนที่ไม่ดื่มกาแฟก็บอกว่า ... ใส่น้ำตาลหรือไม่ใส่ ไม่ใช่เรื่องของตรู ( เอากะมันซิ )
เพื่อนที่รักสุขภาพคนหนึ่ง ( แน่นอนว่ามันไม่ดื่มกาแฟหรือเครื่องดองของเมาใด ๆ ทั้งสิ้น )  มันอุสาหะวิริยะ ค้นหา เรื่องราว และ ส่งเรื่อง ... 11 ข้อดีของการดื่มกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล มาให้

ผมอ่านจบแล้ว เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยแอบเอา บทความเรื่องนี้ มาเขียนลง BLOG ซะเลย ( หาเรื่องเขียนไม่ได้ เลยโมเม เอามาเขียนเป็น ต้นฉบับ ไปซะเลย )

ขอขอบคุณ : ภาพจาก GOOGLE

เอาล่ะ ... เรามาดู 11 ข้อดีของการ ดื่มกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล กัน

1.               ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ B  
2.               ป้องกันโรคหอบ
3.               ลดการเกิดโรคตับจากสุรา
4.               ป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งในช่องปาก
5.               ขับไล่ความชรา
6.               ลดอัตราคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ
7.               ละลายไขมัน
8.               เพิ่มไขมันชนิดดีให้ร่างกาย ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
9.               ช่วยแก้ปวดศีรษะ
10.             เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมองและสมรรถภาพสมอง
11.             ทำให้น้ำย่อย ในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว หากได้ดื่มกาแฟเล็กน้อยหลัง                     ทานอาหาร

นั่นคือ 11 ข้อดีที่น่าสนใจมากของการ ... ดื่มกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล
ผมสรุปจากบทความที่มันส่งมาให้ ( ประมาณ 10 กว่าหน้ากระดาษ มีทั้งผลทดลอง ผลวิจัย ตารางเปรียบเทียบ อะไร ๆ อีกมากมาย ) เอาเป็นว่า รายละเอียดไปหาอ่านตามตำรา และวารสารต่าง ๆ รวมไปถึง GOOGLE ( ผมยังใช้บริการเลย ... ขอบคุณครับ )

ขอขอบคุณ : ภาพจาก GOOGLE

ทำไม ? ต้อง กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล
เหตุผลของผมหรือครับ ... ง่าย ๆ คือว่า  .... ผมดื่มกาแฟวันละมากกว่า   10  แก้ว !!!  ( ย้ำนะครับ )
ขืนใส่น้ำตาลทุกแก้วที่ดื่ม ( ทุกวัน ) ไม่นานเกินรอ รับรอง ... เบาหวาน ถามหาแน่ !!!

เรื่องเล่าจากวันวารตอน ขนม ค – ร – ก


คว่ำฝา – หงายฝา ใคร ๆ เขาเรียกกันว่า ... ขนมครก

ขอขอบคุณ : ภาพจาก GOOGLE

มีเรืองกล่าวเล่าขานนมนานกาเล ถึงชายยาจกยากไร้เงินทองชื่อ ...  เจ้ากะทิ ที่ให้บังเอิญ ไปหลงรัก ...สาวแป้ง ลูกสาวคนสวย ทายาทหนึ่งเดียวของ กำนันปุ่น ผู้ทรงอิทธิพลล้นฟ้า  ซึ่ง สาวแป้ง เองนั้นก็มีใจให้กับหนุ่มคนยากนั้นอย่างไม่มีจิตเดียดฉันท์ มาแต่เมื่อครั้งที่ทั้งสองยังอยู่ในวัยเยาว์  และสองหนุ่มสาวได้อธิษฐานสาบานรักมั่นในงานลอยกระทงว่า จะรันกันจนตราบ ... ชั่วฟ้าดินสลาย  !!!

ด้วยความรักที่มากมายเหลือคณานี่เอง ทำให้ ... เจ้ากะทิ ตั้งใจหมายมั่นว่าตนจะทำงานอย่างหนัก ขยันขันแข็ง  หนักเอาเบาสู้ไม่ย่นย่อท้อถอย เพื่อ เก็บหอมรอมริบเก็บเงินเก็บทอง เป็น สินสอด ไปสู่ขอ สาวแป้ง ยอดชีวายาหยี ที่เขารักมั่นจนหมดหัวจิตและหัวใจ !!!

แต่แล้วความจริงในชีวิตก็ปรากฏ เหมือนกับ  ฟ้าแกล้ง สวรรค์สาป ให้ ความรักบริสุทธิ์ ของหนุ่มสาวต้องมีอันเป็นไป  เมื่อกำนันปุ่น พ่อผู้ทรงอิทธิพลของสาวแป้งทราบเรื่อง ความรักต่างชั้นวรรณะ นั้น จึงคิด ตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการส่งสมุนมือดี ไปกลุ้มรุมทำร้ายหมายขวัญเพื่อกำราบ เจ้ากะทิ มิให้เหิมเกริม กำเริบเสิบสาน และหลาบจำ ไม่คิดหมายปอง เด็ดดอกฟ้า ผู้สูงศักดิ์ อีกต่อไป !!!

เจ้ากะทิ  แม้จะบาดเจ็บเจียนตายแต่ด้วย เพราะ  พลังแห่งความรักที่มั่นคง  ทำให้เจ้าหนุ่มฮึดสู้ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค แต่กลับมุ่งมั่นที่จะทำตาม ความฝัน ของตนเองให้ได้  

เมื่อเป็นดังนี้ก็ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับ กำนันปุ่น พ่อของสาวแป้ง เป็น เท่าทวีคูณเหนือคณานับ จึ่งคิดที่จะแยกหนุ่มสาวออกจากกันอย่างเด็ดขาด ด้วยการตัดสินใจยกลูกสาวคนสวยให้กับ ปลัดสมชาย ปลัดอำเภอหนุ่ม หน้ามนจากบางกอก เมืองหลวงดินแดนศิวิไลย์ที่มาก้อล่อก่อติด สาวแป้งอยู่เป็นเนืองนิตย์ ทันทีที่เขาเอ่ยปากสู่ขอจาก กำนันปุ่น

ด้วยความกังวลว่า  เจ้ากะทิ  หนุ่มคนยากผู้ดื้อรั้นจะมาก่อกวน งานพิธี  กำนันปุ่นสั่งให้ลุกสมุนจัดการขุดหลุมพรางเอาไว้รอบบ้าน เพื่อดัก เจ้ากะทิ  แต่แผนการร้ายในครั้งนี้ไม่อาจที่จะรอดพ้นไปจากสายตาของ ... สาวแป้ง หญิงสาวเป็นห่วงคนรักของเธอยิ่งนักเพราะเกรงว่าเขาจะประสบเภทภัย  จึงแอบซุ่มอยู่ภายนอกบริเวณบ้าน รอที่จะเตือนคนรัก หากเขามาถึง

และเป็นจริงดั่งที่คิด เจ้ากะทิ เดินดุ่ม ๆ เข้ามาภายในบริเวณกับดัก เมื่อเห็นคนรักอารามดีใจของหญิงสาว ทำให้เธอวิ่งฝ่าเข้าไปในบริเวณหลุมกับดัก และ พลาดพลั้งตกลงไปในหลุม  จ้าวกะทิ เห็นดังนั้น ตกใจจนแทบสิ้นสติ เลยกระโดดตามลงในหลุมเพื่อจะช่วยสาวคนรัก ที่ไม่สามารถขึ้นมาจากหลุมลึกนั้นได้

สมุนกำนันปุ่น ที่แอบซุ่มอยู่ พอรู้ว่ามีคนตกลงไปในหลุมลึก ก็รีบวิ่งมาที่หลุม และช่วยกันโกยดินฝังกลบหลุมนั่นจนมิด โดยหารู้ไม่ว่า  ในหลุมกับดักนั้นหาใช่มีเพียง  จ้าวกะทิ ผู้อาภัพรักแต่ผู้เดียว ไม่ แต่มี สาวแป้ง หญิงสาวเคราะห์ร้าย ที่หล่นลงไปในหลุมนั้นด้วย

รุ่งเช้า  กำนันปุ่น  มาที่หลุมกับดักมรณะ นั้น  แล้วสั่งให้ลูกสมุนขุดหลุมเพื่อดูผลงานชิ้น โบว์แดง ที่ทำเอาไว้
แต่ กำนันปุ่น และทุกคน แทบไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อเห็นภาพตรงหน้า  ที่ก้นหลุมเบื้องล่างปรากฏร่าง  จ้าวกะทิ  นอนตระกองกอดก่ายทับร่างของ  สาวแป้ง  ทั้งสองคนนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข !!!
รอยกระหยิ่มยิ้มย่องบนใบหน้า  เปลี่ยนเป็น ใบหน้าเศร้าหมอง นองด้วยน้ำตา  กำนันปุ่น ร่ำไห้อย่างไม่อายใครรำพึงรำพันอย่างคนหัวใจแหลกสลายต่อหน้าศพของลูกสาว  !!!

ตราบวันนั้นเป็นต้นมา เพื่อเป็น อนุสรณ์แห่งความรัก  ของ จ้าวกะทิ  และ สาวแป้ง  ทุกวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ชาวบ้านที่ทราบเรื่องของทั้งสองคนและศรัทธาในความรักของทั้งคู่  ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมหอมหวาน ที่ปรุงจากแป้ง และกะทิ หยอดลงในภาชนะดินเผาลักษณะเป็น หลุม พอแป้งสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเพื่อเป็นเสมือนสัญลักษณ์ว่า  “ ทั้งสองจะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป ”  

ขนมหลุมนี้ถูกเรียกกันว่า  “ ขนมแห่งความรัก ”  หรือ ขนม คน-รัก-กัน ... ซึ่งต่อ ๆ มาขนมนี้ถูกเรียกอย่างย่อ ๆ ว่า “ ขนม ค-ร-ก ”

                                                                                           ขอขอบคุณ : ภาพจาก GOOGLE

ไม่น่าเชื่อเลยนะว่า ขนมหวาน ที่เราทานกับ กาแฟ จะมีที่มาจากเรื่อง ... โศกนาฏกรรม ที่น่าเศร้า !!!

คนไม่มี ค. ว. และ ย.

คนไม่มี  ค. ว. และ ย.   หยุดคิดเสียก่อน ... ก่อนตัดสินใจ ผมดูท่าว่า ... มัน จะไปกันใหญ่แล้วนะครับ ... !!! กับ สารพัดเรื่องราวที่เ...